ประวัติไททรงดำ
ชาวไทยทรงดำ เป็นชนเผ่าไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่บริเวณดินแดนสิบสองจุไทย ในเวียดนามเหนือปัจจุบัน คนไทยมักเรียกพวกเขาว่า 'ลาวโซ่ง' หรือ 'ไทยโซ่ง' เนื่องจากอพยพผ่านมาทางประเทศลาว ซึ่งคำว่า โซ่ง เป็นคำที่ถูกเรียกตามชุดแต่งกายเพราะนุ่งส่วงดำหรือกางเกงสีดำ ปัจจุบันนิยมเรียกว่า 'ไทยทรงดำ'
ครั้งอดีตสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี(พ.ศ. 2322) ได้กวาดต้อนไทยดำพร้อมลาวในเวียงจันทน์และเมืองพวนมาอยู่ที่ธนบุรี ต่อมารัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ลาวเวียงอยู่ที่ จ.ราชบุรี ลาวพวนอยู่ที่ธนบุรี และให้ไทยทรงดำไปตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี และสืบลูกหลานมาเป็นไทยทรงดำเมืองเพชร ซึ่งตั้งบ้านเรือนกระจายอยู่ในเขตอำเภอเมือง บ้านแหลม บ้านลาด ท่ายาง หนองหญ้าปล้อง แต่ที่หนาแน่นที่สุดคือที่อำเภอเขาย้อย แถบบ้านห้วยท่าช้าง, หนองปรง, หนองจิก, ทับคาง, ดอนทราย และหนองชุมพลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้อิทธิพลจากภายนอกจะเข้ามาครอบงำมากขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องปรับตัวไปตามยุคสมัย แต่ชาวไทยทรงดำรุ่นก่อนๆ ยังคงดำเนินวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและรักษาประเพณีเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะการแต่งกาย อีกทั้งยังพยายามสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมอันงดงามสู่ลูกหลานคนรุ่นใหม่ ไม่ให้ถูกกลืนไปตามกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ จนหลงลืมรากเหง้าของตนเอง
นายพนัส ล้วนเมือง กำนันตำบลหนองปรง จ.เพชรบุรี เล่าว่า ปู่ย่าตายายเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อมาถึงเมืองเพชรบุรี ประมาณปี พ.ศ. 2322 ได้อพยพจากบ้านท่าแร้งมาอยู่ที่บ้านหนองปรง จ.เพชรบุรี จนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่วิถีชีวิตของชาวไทยทรงดำบ้านหนองปรงมีวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากแหล่ง ที่อยู่เดิมของพวกเรา ตั้งแต่การทำไร่ ทำนา ถือเป็นอาชีพหลักของชาวไทยทรงดำ ส่วนวิถีชีวิตด้านอื่นๆ เช่น เรื่องเครื่องนุ่งห่ม การแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรม ยังคงรักษาและสืบทอดจากบรรพบุรุษมาจนถึงปัจจุบัน แต่พวกเราเริ่มมามีวัฒนธรรมใหม่เกิดขึ้น โดยการนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับการนับถือผีบรรพบุรุษ จากเมื่อก่อนจะนับถือผีบรรพบุรุษอย่างเดียว
"การนับถือผีบรรพบุรุษเกี่ยวโยงในด้านความเชื่อ เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมา เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การดำรงอยู่ของชาวไทยทรงดำสูญเสียวัฒนธรรมไปช้า ที่สุด มีวัฒนธรรมเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ซึ่งพิธีเสนเรือนหรือพิธีเซ่นผี นิยมทำ 2-3 ปีต่อครั้ง จะยกเว้นเฉพาะเดือน 9 และ เดือน 10 เท่านั้นที่จะไม่มีการประกอบพิธีเซ่นผี ส่วนใหญ่พิธีเสนเรือนจะทำ 3 วัน ซึ่งนอกจากถือผีก็จะมีวัฒนธรรมในด้านการสังสรรค์รื่นเริง การไปมาหาสู่กับญาติพี่น้อง
สัญลักษณ์การแต่งกายของไทยทรงดำ จะเห็นชัดเจนว่า ใช้เสื้อแบบเดียวกัน ส่วนใหญ่จะใช้สีขาวและสีดำ ใช้สีอื่นเพียงให้สวยงาม ผู้หญิงมักจะนุ่งผ้าซิ่นลายแตงโม และมวยผมเกล้าไว้บนศรีษะ ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างจากคนไทยหรือคนเชื้อสายอื่นๆ ทั่วไป
ส่วนภาษาพูดที่ใช้โต้ตอบกัน ก็เป็นภาษาไทยดำ ที่มีลักษณะเฉพาะ ส่วนภาษาเขียนมีคนรู้เรื่องภาษาเขียนน้อยมาก
นายศรชัย ทองแดง
นายณัฏฐพล จันทร์พงษ์
วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เครื่องแต่งกาย
เครื่องแต่งกายผู้หญิง
หญิงจะมีผ้าซิ่นลายแตงโม ประกอบผ้า 3 ชิ้น คือ ตีนซิ่น ตัวซิ่น หัวซิ่น หญิงแต่ละวัยนุ่งไม่เหมือนกัน ดังคำกลอนของชาวไทยทรงดำว่า “ สาวน้อยขอดซอย เอื้อมไหล่สาวใหญ่ ๆ นุ่งซิ่นต่อหัว สาวมีผัวนุ่งซิ่น 2 ซ้อน “
เสื้อหญิงก็มีเสื้อก้อมกับเสื้อฮี เสื้อฮีหญิงใช้เย็บนุ่งได้ 2 ด้าน ด้านมงคลมีลวดลายน้อย ด้านอวมงคลมีลวดลายมาก และใช้คลุมหลังโลงศพเวลาตาย ปกติใช้เสื้อก้อมเป็นเสื้อแขนยาวคอตั้งติดกระดุม 9 เม็ด หรือ 1 เม็ด ตรงสาบเหนือสะดือจะเว้าประมาณ 1 นิ้วครึ่ง เพื่อโชว์หน้าท้องและเข็มขัดเงิน สีที่ใช้แต่งเสื้อฮี หรือทำหน้าหมอนจะมีสีหลัก 4 สี คือ แดงเลือดหมู สีส้ม สีเขียว และสีขาว
ผ้าสไบสาว ๆ ใช้ผ้าสี คนมีอายุจะใช้ผ้าเปียวหรือผ้าฮ้างนมสีดำ ซึ่งเป็นดอกสวยงาม การนุ่งผ้าซิ่นจะนุ่งหน้าสั้นหลังยาว สองชายพับมารวมตรงหน้าและพับตลบหลังทับกันตรงหน้าท้อง สะดวกในการเดินและทำให้เนื้อผ้าซิ่นไม่แยก เวลาทำงานหนักมักใช้สะไบคาดเอว เน้นความเข้มแข็งทะมัดทะแมง หญิงไทยทรงดำขยัน เวลาตายจะนุ่งผ้าซิ่นให้ศพ 3 ผืนต้องเป็นซิ่นลาวและมีผ้าไหมปิดหน้า ถ้าไม่มีจะถูกผู้ใหญ่ในชุมชนตำหนิติเตียน
เครื่องแต่งกายผู้ชาย
กางเกงชายมี 2 แบบ ขายาว เรียก “ส้วงขาฮี “ , ขาสั้น เรียก “ส้วงก้อม “ (คำว่า ก้อม หมายถึงสั้นหรือพอดีตัว) ส้วงก้อม คล้ายกางเกงขาก๊วยของจีน
เสื้อมี 2 แบบ เสื้อไท เป็นเสื้อคอตั้ง แขนยาวรัดเอว ปลายย้วยเล็กน้อย ติดกระดุมเงิน 2 ซุม ซุ่มละ 9 เม็ด เสื้อฮี เป็นเสื้อคอกลมแขนยาว ตัวยาวมาปิดก้น ความงามอยู่ด้านข้างโชว์ลายซึ่งเรียกว่า “ คอกุด “ เสื้อฮีชายใส่ได้ด้านเดียว
เสื้อฮีใช้ในพิธีสำคัญ ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวสีดำ ที่เรียกว่า “ ส้วงขาฮี “ เสื้อผ้าฝ้ายย้อมครามตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อย ผ่าหน้าตลอด ความยาวคลุมสะโพกด้านข้างผ้าขึงเอว คอเสื้อเป็นคอกลมติดกุ๊นรอบคอด้วยไหมสีแดง ตรงคอเสื้อมีกระดุมติดไว้ 1 เม็ด แขนเสื้อเป็นแขนกระบอกยาวปักตกแต่งรักแร้ และด้านข้างของตัวเสื้อด้วยไหมสีต่าง ๆ ติดกระจกชิ้นเล็ก ๆ ตามลวดลายอย่างสวยงาม ใช้ในงานพิธีสำคัญ เช่น งานตาย งานแต่งงาน งานเสน เป็นต้น
หญิงจะมีผ้าซิ่นลายแตงโม ประกอบผ้า 3 ชิ้น คือ ตีนซิ่น ตัวซิ่น หัวซิ่น หญิงแต่ละวัยนุ่งไม่เหมือนกัน ดังคำกลอนของชาวไทยทรงดำว่า “ สาวน้อยขอดซอย เอื้อมไหล่สาวใหญ่ ๆ นุ่งซิ่นต่อหัว สาวมีผัวนุ่งซิ่น 2 ซ้อน “
เครื่องแต่งกายผู้หญิงไททรงดำ |
เสื้อหญิงก็มีเสื้อก้อมกับเสื้อฮี เสื้อฮีหญิงใช้เย็บนุ่งได้ 2 ด้าน ด้านมงคลมีลวดลายน้อย ด้านอวมงคลมีลวดลายมาก และใช้คลุมหลังโลงศพเวลาตาย ปกติใช้เสื้อก้อมเป็นเสื้อแขนยาวคอตั้งติดกระดุม 9 เม็ด หรือ 1 เม็ด ตรงสาบเหนือสะดือจะเว้าประมาณ 1 นิ้วครึ่ง เพื่อโชว์หน้าท้องและเข็มขัดเงิน สีที่ใช้แต่งเสื้อฮี หรือทำหน้าหมอนจะมีสีหลัก 4 สี คือ แดงเลือดหมู สีส้ม สีเขียว และสีขาว
ผ้าสไบสาว ๆ ใช้ผ้าสี คนมีอายุจะใช้ผ้าเปียวหรือผ้าฮ้างนมสีดำ ซึ่งเป็นดอกสวยงาม การนุ่งผ้าซิ่นจะนุ่งหน้าสั้นหลังยาว สองชายพับมารวมตรงหน้าและพับตลบหลังทับกันตรงหน้าท้อง สะดวกในการเดินและทำให้เนื้อผ้าซิ่นไม่แยก เวลาทำงานหนักมักใช้สะไบคาดเอว เน้นความเข้มแข็งทะมัดทะแมง หญิงไทยทรงดำขยัน เวลาตายจะนุ่งผ้าซิ่นให้ศพ 3 ผืนต้องเป็นซิ่นลาวและมีผ้าไหมปิดหน้า ถ้าไม่มีจะถูกผู้ใหญ่ในชุมชนตำหนิติเตียน
เครื่องแต่งกายผู้ชาย
กางเกงชายมี 2 แบบ ขายาว เรียก “ส้วงขาฮี “ , ขาสั้น เรียก “ส้วงก้อม “ (คำว่า ก้อม หมายถึงสั้นหรือพอดีตัว) ส้วงก้อม คล้ายกางเกงขาก๊วยของจีน
เสื้อมี 2 แบบ เสื้อไท เป็นเสื้อคอตั้ง แขนยาวรัดเอว ปลายย้วยเล็กน้อย ติดกระดุมเงิน 2 ซุม ซุ่มละ 9 เม็ด เสื้อฮี เป็นเสื้อคอกลมแขนยาว ตัวยาวมาปิดก้น ความงามอยู่ด้านข้างโชว์ลายซึ่งเรียกว่า “ คอกุด “ เสื้อฮีชายใส่ได้ด้านเดียว
เครื่องแต่งกายผู้ชายไททรงดำ |
เสื้อฮีใช้ในพิธีสำคัญ ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวสีดำ ที่เรียกว่า “ ส้วงขาฮี “ เสื้อผ้าฝ้ายย้อมครามตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อย ผ่าหน้าตลอด ความยาวคลุมสะโพกด้านข้างผ้าขึงเอว คอเสื้อเป็นคอกลมติดกุ๊นรอบคอด้วยไหมสีแดง ตรงคอเสื้อมีกระดุมติดไว้ 1 เม็ด แขนเสื้อเป็นแขนกระบอกยาวปักตกแต่งรักแร้ และด้านข้างของตัวเสื้อด้วยไหมสีต่าง ๆ ติดกระจกชิ้นเล็ก ๆ ตามลวดลายอย่างสวยงาม ใช้ในงานพิธีสำคัญ เช่น งานตาย งานแต่งงาน งานเสน เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)